สมัยนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่คลินิกเสริมความงามแถมมีโปรโมชั่นแบบจัดเต็มมากมาย โดยเฉพาะโปรแกรมปรับรูปหน้าให้เรียวสวยแบบสาวเกาหลีด้วยโบท็อกซ์
แต่บางคนอาจจะยังไม่กล้าไปใช้บริการการฉีดโบท็อกซ์ลดกรามที่สถานเสริมความงามเหล่านี้ เพราะกลัวว่าจะมีผลเสียตามมา หรือบางคนอาจจะยังมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจไม่มากพอเลยยังลังเลว่าสรุปแล้วควรจะฉีดหรือไม่ ซึ่งในบทความนี้เราจะมาไขข้อสงสัยกันว่าโบท็อกซ์ลดกรามอันตรายจริงไหมแล้วเราควรจะฉีดกี่ยูนิตหน้าถึงจะเรียวสมใจ
โบท็อกซ์อันตรายไหม?
จริงๆ แล้วโบท็อกซ์มีการนำมาใช้มากกว่า 30 ปี โดยเริ่มแรกเป็นการนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาผู้ที่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อ แต่ในปัจจุบันมีการนำมาใช้ในด้านความงามกันอย่างแพร่หลาย แต่ไม่ว่าจะเป็นด้านทางการแพทย์หรือด้านความงามก็ยังไม่เคยมีการรายงานในเรื่องภาวะแทรกซ้อนหรือทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ตามการฉีดโบท็อกซ์ลดกรามอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น หนังตาตก หน้าไม่เท่ากัน มีเลือดออกหรือช้ำบริเวณที่ฉีด หรือโบท็อกซ์ไหลไปส่วนอื่นของใบหน้าเนื่องจากมีการนอนราบหลังฉีด 4 ชั่วโมง ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายแก่ชีวิตแต่ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอาการเหล่านี้เพราะแทนที่จะหน้าเรียวขึ้นหน้าคุณอาจเกิดการบิดเบี้ยวได้ โดยควรเลือกฉีดกับคลินิกที่ไว้ใจได้ มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องและทำการฉีดโดยแพทย์ อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการนอนราบหลังฉีดโบท็อกซ์ภายใน 4 ชั่วโมงเพื่อไม่ให้ไหลไปยังส่วนอื่น
ขอบคุณภาพจาก Lbc-clinic.com
ควรฉีดกี่ยูนิต? การจะเลือกว่าจะฉีดโบท็อกซ์ลดกรามกี่ยูนิตนั้นควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินและขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการให้หน้าเรียวแค่ไหนหรือคุณมีกล้ามเนื้อบริเวณกรามมากน้อยเท่าใด แต่โดยปกติแล้วการฉีดโบท็อกซ์ลดกรามจะใช้อยู่ที่ประมาณ 50-60 ยูนิต ซึ่งยิ่งฉีดเยอะก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้หน้าเรียวขึ้นเสมอไป บางคนอาจมีไขมันสะสมบริเวณกรอบหน้าเยอะ ซึ่งการที่เราฉีดโบท็อกซ์เข้าไปนั้นก็ไม่ได้ทำให้หน้าเรียวขึ้นแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นหากคุณไม่แน่ใจว่าหน้ากลมๆ ของคุณนั้นเป็นกล้ามเนื้อหรือไขมันก็สามารถให้แพทย์ประเมินได้เช่นกัน การฉีดโบท็อกซ์นั้นอาจไม่อันตรายอย่างที่หลายๆ คนคิด แต่หากใครไม่อยากเสียโฉมและอยากได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนก็ควรปรึกษาแพทย์และประเมินก่อนการฉีดว่าคุณจำเป็นต้องฉีดกี่ยูนิตและควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หลังการฉีดเช่นกัน ที่สำคัญต้องฉีดกับแพทย์และคลินิกที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องเท่านั้นเพราะหากเป็นคลินิกที่ไม่ได้การรับรองแล้วอาจมีการผสมน้ำเกลือหรือสารอื่นๆ ที่เป็นอันตรายอยู่ด้วย