SPCG พบนักลงทุนโชว์ผลประกอบการปี 61 มีกำไรเพิ่มกว่า 2,900 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 62 สร้างรายได้เพิ่ม 7 พันล้าน รุกหนักตลาดโซลาร์รูฟตั้งเป้ากวาด 2 พันล้านบาท พร้อมทุ่มงบลงทุนอีก 3-5 พันล้านทำเมกะโปรเจกต์ใหญ่โซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG”ได้พบนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อม แถลงผลการดำเนินงานประจำปี 2561 ในงาน “วันบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day)” ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก
ดร.วันดี เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2561 จำนวน 2,923.6 ล้านบาท เติบโตขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2560 ซึ่งมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,822.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 101.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 4 หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 2.70 บาท ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้รวม ปี 2561 จำนวน 6,046.5 ล้านบาท ลดลงเพียงร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีรายได้ 6,123.2 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่ดีในปีที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2562 จึงมีมติอนุมัติแผนการดำเนินธุรกิจสำหรับปี 2562 โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า 7,000 ล้านบาท โดยการเติบโตของ SPCG มาจากรายได้ 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์ฟาร์ม จำนวน 36 โครงการ รวมกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ ร้อยละ 70 ของรายได้รวม
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ ปริมาณการผลิตหน่วยไฟฟ้าทำได้ดีเกินกว่าเป้าหมาย จึงเชื่อว่าในปีนี้ มีโอกาสที่รายได้จะเติบโตตามที่คาดหมายไว้ และรายได้จากธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ ร้อยละ 25 ของรายได้รวม ซึ่ในปีนี้ บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ บริษัทในเครือ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้มากกว่า 2,000 ล้านบาทโดยยังคงมุ่งเน้นการเติบโตใน 3 กลุ่มหลักคือ กลุ่มบ้านพักอาศัย , กลุ่มสำนักงาน อาคาร ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม
“ในปีนี้ลูกค้าในกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยคาดว่า จะเติบโตอย่างมาก เนื่องจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ปี 2018 ในส่วนของโซลาร์ภาคประชาชนจำนวน 100 เมกะวัตต์ นอกจากจะมีส่วนช่วยในการประหยัดค่าไฟฟ้าในเวลากลางวันได้แล้ว ครัวเรือนที่สามารถผลิตหน่วยไฟฟ้าได้เกินกว่าการใช้งานยังสามารถจำหน่ายให้ภาครัฐได้ด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวและมีความต้องการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาหรือ Solar Roof มากขึ้นในปีนี้”ดร.วันดีกล่าว
สำหรับ โครงการโซลาร์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 3 โครงการนั้น ในปี 2561 โครงการ Tottori Yonago Mega Solar ขนาดกำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ ณ เมือง Tottori ซึ่งได้ดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงไตรมาส 2 ปี 2561 ที่ผ่านมา โดยโครงการนี้ เป็นการจับมือร่วมกับ Kyocera Corporation, Japan ผู้นำธุรกิจผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์และอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ และบริษัท Tokyo Century Leasing Corporation หรือ TCL ผู้นำธุรกิจเช่าซื้อในประเทศญี่ปุ่น โครงการดังกล่าวบริษัทฯ ได้รับรู้รายได้เป็นเงินปันผล
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างเดินหน้าโครงการโซลาร์ฟาร์มแห่งที่ 2 ภายใต้ชื่อ “Ukujima Mega Solar Project” บนเกาะ Ukujima เมืองนางาซากิ ด้วยขนาดกำลังการผลิต 480 เมกะวัตต์ เป็นการร่วมทุนของ 8 บริษัท ได้แก่ Kyocera Corporation, Kyudenko Corporation, Mizuho Bank, SPCG Pubic Company Limited, Tokyo Century Corporation, Furukawa Electric Company Limited, Tsuboi Corporation และ The Eighteenth Bank Limited ด้วยงบประมาณการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 200 Billion Yen (หรือประมาณ 1.8 Billion USD หรือประมาณ 57,400 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน = 31.91 ณ วันที่ 4 มี.ค.2562) มีกำหนดเริ่มการก่อสร้างในปี 2562 โดยมีอัตรารับซื้อไฟฟ้า FIT ตามเดิม
อีกทั้ง บริษัทฯ ยังมีโครงการโซลาร์ฟาร์มที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 1 โครงการ ที่เมืองฟูกุโอกะ ขนาดกำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการโซลาร์ฟาร์มที่มีขนาดเล็กกว่า โครงการ Ukujima จึงคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้ก่อน โดยโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนกว่า 9,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ดร.วันดี ได้ตอบคำถามนักลงทุนด้วยว่า บริษัทฯได้ประมาณการงบฯลงทุนในปี 2562 ไว้ประมาณ 3-5 พันล้านบาทโดยจะเลือกวิธีใช้เงินลงทุนที่มีผลประโยชน์ต่อนักลงทุนมากที่สุด เชื่อว่าธุรกิจตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟ ยังมีความต้องการอีกมากจากตลาดกลุ่มภาคธุรกิจและกลุ่มโรงงานภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ได้อนุมัติแผ่นโซลาร์ภาคประชาชนจำนวน 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้จากธุรกิจโซลาร์รูฟให้กับบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง หลังผลประกอบการธุรกิจโซลาร์รูฟของบริษัทฯช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด