THAI NEWS

โดย กองบรรณาธิการ M2F

14 เมษายน 2564 : 14:49 น.

นักวิชาการเผย รายงาน WHO ไทยสอบตก นโยบายคุมบุหรี่ไม่สำเร็จ แนะ ไทยควรเอาอย่างอังกฤษ ออกนโยบายควบคุมยาสูบให้ดีก่อน

เมื่อวันที่ 14 เมษายน ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงกรณีกลุ่มสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าได้เสนอให้ประเทศไทยเอาอย่างประเทศอังกฤษที่สนับสนุนการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในการช่วยเลิกบุหรี่ และมักอ้างความสำเร็จในการลดอัตราการสูบบุหรี่ในอังกฤษเกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าว่า ระดับความสำเร็จของนโยบายการควบคุมยาสูบของประเทศอังกฤษและไทยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น การปฏิบัติตามกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ซึ่งจากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO Report on the Global Tobacco Epidemic, 2019) ระบุประเทศอังกฤษได้ 10 คะแนนเต็ม แต่ประเทศไทยทำได้เพียง 5 คะแนน ทั้งที่ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกมากว่า 10 ปีแล้ว

ทั้งนี้ กลุ่มนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ชิคาโก ได้จัดทำรายงานเปรียบเทียบระดับความสำเร็จของนโยบายภาษียาสูบทุกประเทศทั่วโลก เมื่อเดือนธันวาคม 2563 พบประเทศอังกฤษเป็น 1 ใน 4 ประเทศที่มีนโยบายภาษียาสูบที่ดีที่สุดในโลก โดยได้คะแนนประเมินสูงถึง 4.38 จาก 5 คะแนนเต็ม ส่วนประเทศไทยถือว่าสอบตกได้เพียง 1.75 คะแนน โดยได้คะแนนต่ำกว่าอังกฤษในทุกตัวชี้วัดด้านภาษี กล่าวคือ ราคาบุหรี่ของไทยถูกกว่าอังกฤษมาก การกำหนดนโยบายภาษียาสูบของไทยไม่ได้ปรับราคาบุหรี่ตามการเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชากร ทำให้บุหรี่ในประเทศไทยเป็นสินค้าที่ซื้อได้ง่าย

“โครงสร้างภาษีของประเทศไทยที่เป็นแบบ 2 ระดับ เปิดช่องให้บุหรี่หลายยี่ห้อลดราคาลง นอกจากนี้ไทยยังเก็บภาษียาเส้นในอัตราที่ต่ำมาก ต่างจากอังกฤษที่มีการปรับอัตราภาษีอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยขึ้นภาษี 2% สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ และเก็บภาษีบุหรี่ทุกประเภทในอัตราที่ใกล้เคียงกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สูบเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ที่ถูกกว่า ขณะที่ไทยยังไม่มีมาตรการในการจัดการกับบุหรี่ผิดกฎหมายอย่างจริงจัง และยังไม่ได้ลงนามในพิธีสารตามอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก เรื่องการกำจัดผลิตภัณฑ์ยาสูบผิดกฎหมาย ในขณะที่อังกฤษได้ลงนามในพิธีสารดังกล่าวตั้งแต่ปี 2556” ดร.พญ.เริงฤดี กล่าว

ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ประเทศอังกฤษ มีนโยบายการช่วยเลิกบุหรี่ มีการจัดระบบที่ดีกว่าประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งองค์การอนามัยโลก ยกให้อังกฤษเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดบริการเลิกบุหรี่ โดยมียาช่วยเลิกบุหรี่ที่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งปัจจุบันยาช่วยเลิกบุหรี่ในอังกฤษ มีวางจำหน่ายทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ และสถานบริการสุขภาพทุกระดับของอังกฤษ มีการจัดบริการเลิกสูบบุหรี่เต็มรูปแบบและสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เต็มจำนวน ต่างจากประเทศไทยที่ยาช่วยเลิกบุหรี่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายในสิทธิบริการสุขภาพได้ และการจัดบริการเลิกสูบบุหรี่ยังไม่เต็มรูปแบบ

ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อว่า นอกจากนโยบายการควบคุมยาสูบที่อังกฤษก้าวหน้ากว่าไทยไปมาก งบประมาณที่จัดสรรสำหรับการควบคุมยาสูบของประเทศอังกฤษก็สูงกว่าประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งประเทศอังกฤษวางเป้าหมายจะเป็นประเทศที่ปลอดบุหรี่ให้ได้ในปี 2573 โดยวางแผนจัดสรรงบประมาณในการควบคุมยาสูบไว้ปีละประมาณ 12,000 ล้านบาท ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียงงบประมาณจาก สสส. ที่เป็นหลักในการควบคุมยาสูบเพียงปีละไม่ถึง 400 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การที่กลุ่มผู้สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าพยายามเรียกร้องไทยให้เอาอย่างอังกฤษที่อนุญาตให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้นั้น ยังเป็นเรื่องที่ยังห่างไกลกับบริบทประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการควบคุมยาสูบอื่น ๆ ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ได้ดีเทียบเท่าอังกฤษก่อน ซึ่งเมื่อทุกมาตรการเข้มแข็งแล้วจึงค่อยนำเรื่องการเปิดให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างถูกกฎหมายมาพิจารณา ทั้งนี้ มีตัวอย่างในอีกหลายประเทศที่มาตรการควบคุมยาสูบยังไม่เข้มแข็งแต่ให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย พบว่าอัตราการสูบบุหรี่ไม่ได้ลดลงหรือลดช้ากว่าประเทศไทยเสียอีก เช่น ฝรั่งเศส และอิตาลี

ข่าวเด่น

ข่าวทั่วไทย

ข่าวที่น่าสนใจ