ผลการศึกษาจากแอฟริกาใต้ชี้ว่า Omicron ลดแอนติบอดีจากวัคซีน Pfizer 41 เท่า
วันนี้ (8 ธ.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยด้านสุขภาพแอฟริกาในประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งได้ทำการทดลองประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech ในการรับมือกับโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน พบว่าวัคซีนยังคงสามารถต้านไวรัสได้บ้าง แต่มีแอนติบอดีลดลงมากเมื่อเทียบกับโควิด-19 สายพันธุ์อื่นๆ
ศาสตราจารย์ อเล็กซ์ ซิกัล จากสถาบันวิจัยสาธารณสุขแอฟริกาและทีมวิจัยได้ทดสอบแอนติบอดีจากผู้ที่ได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech ซึ่งไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 6 คน และผู้ที่ติดเชื้อก่อนรับวัคซีนอีกจำนวน 6 คน พบว่า แอนติบอดีจากทั้ง 12 คนสามารถต้านโอมิครอนได้น้อยกว่าโควิด-19 สายพันธุ์ก่อนหน้า แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนหลังติดเชื้อมีแอนติบอดีที่สูงกว่าผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อ
โดยรวมแล้วศักยภาพของแอนติบอดีต่อโอไมครอนลดลงอย่างมากประมาณ 41 เท่า อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ซิกัลมองว่าแม้เชื้อโอมิครอนจะทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมาก แต่มันสามารถควบคุมได้
ผลการศึกษาดังกล่าวช่วยอธิบายเหตุการณ์ซูเปอร์สเปรดเดอร์ซึ่งเกิดจากโอมิครอนได้ อย่างเช่นงานปาร์ตี้คริสต์มาสในนอร์เวย์ซึ่งมีผู้ติดเชื้ออย่างน้อยครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมงานที่ได้รับวัคซีนแล้ว 120 คน
ศาสตราจารย์ซิกัลเสริมว่าการศึกษาดังกล่าวยังไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นจะเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับไวรัสได้ดีเพียงใด ซึ่งต้องทำการทดสอบแอนติบอดีของผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเสียก่อน แต่เชื่อว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีแอนติบอดีที่มากกว่า ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และอาการป่วยรุนแรงได้ดียิ่งขึ้น
ด้านผู้ผลิตวัคซีน Pfizer และ Moderna กล่าวก่อนหน้านี้ว่ากำลังเดินหน้าทดสอบวัคซีนในการรับมือกับเชื้อโอมิครอน และจะสามารถพัฒนาวัคซีนสำหรับไวรัสดังกล่าวโดยเฉพาะได้ภายในเวลาประมาณ 3 เดือน
Photo by JEFF PACHOUD / AFP